ตอนที่ ๑๒
ฟ้าหลังฝน
ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ เช่นเดียวกับชีวิตของจอมทัพ
หลังจากที่เขาค้นพบและตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาต้องการแล้วทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เขาได้รับการยอมรับ ยกย่องให้เป็นผู้นำ
โดยใช้ความสามารถ ความจริงใจ เป็นตัวตัดสินเขา เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงาน
ได้แบ่งปัน ความรู้ ความคิด และสิ่งของต่างๆให้กับทุกคน เขาไม่หวังสิ่งใดมาตอบแทน
กิจกรรมต่างๆที่เขาคิดและทำขึ้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
และเป็นที่รู้จักทั่วไปในสังคมจากปากต่อปากในกระแสสังคมออนไลน์
จอมทัพและลลิณทำงานและต้อนรับทั้งนักท่องเที่ยวและคณะศึกษาดูงาน
และเดินทางเป็นวิทยากรให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆมากมาย จนพวกเขาแทบจะไม่มีเวลาพัก
แต่พวกเขาก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำงาน ทั้งสองยกเอาแนวพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าหัวอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
รัชกาลที่ ๙ มายึดเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
ถึงแม้ว่าพระองค์จะเสด็จสวรรคตไปแล้วก็ตาม
แต่ทั้งสองคนยังรักและเทิดทูนพระองค์และตอบแทนบุญคุณของพระองค์ท่านโดยการนำแนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประกอบอาชีพและขยายผลให้กับผู้คนในชุมชนซึ่งก็เริ่มได้ผล
ชาวบ้านเริ่มหันมาทำการเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานตามอย่างทั้งสองคนมากขึ้นแทนการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว
และใช้ปุ๋ยเคมี บางคนเข้ามาเรียนรู้เรื่องการเพาะเห็ด
บางคนมาเรียนรู้การทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
บางคนมาเรียนรู้เรื่องการปลูกและขยายพันธุ์พืชและการแปรรูปสมุนไพร
บางคนมาเรียนรู้การทำยาสระผมและน้ำยาล้างจาน
บ้านและไร่ของทั้งคู่จึงกลายเป็นศูนย์การเรียนรู้ของคนในชุมชนและหมู่บ้านใกล้เคียง
และบุคคลที่สนใจทั่วไป
จอมทัพและลลิณยึดหลัก
“ ปลูกทุกอย่างเพื่อกิน กินทุกอย่างที่ปลูก เหลือจึงขาย ”
เหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมา และยังยึดหลักปฏิบัติอีกข้อหนึ่ง คือ “
เมื่อเหลือกินแล้วต้องรู้จักแบ่งปัน และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วย ”
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้
เพราะชายหนุ่มทำงานจนลืมไปว่าเขามาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว เขามาที่นี่ตั้งแต่เด็กชายแบงค์เรียนชั้นประถมศึกษา จนตอนนี้แบงค์โตเป็นหนุ่มแล้ว และก็เรียนใกล้จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว
และกำลังจะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แบงค์จะตามเขาไปทุกที่เมื่อเวลาว่าง แบงค์จะยืนดูและซึมซับทุอย่างที่ชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวต่างๆให้กับชาวบ้านและผู้ที่สนใจเข้ามาเรียนรู้ฟัง จอมทัพจะบอกทุกคนเสมอว่า
“ การมีสวน
มีไร่ ก็เหมือนมีซุปเปอร์มาเก็ต
อยากกินผักเราก็ปลูกผัก อยากกินผลไม้ก็ปลูกผลไม้ อยากกินปลาเลี้ยงปลา อยากกินไก่เลี้ยงไก่ เมื่อเหลือเราก็เอาไปขาย
ออมเงินไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ”
แบงค์ชื่นชมและศรัทธาในตัวของชายหนุ่มมาก
จึงตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อในสาขาการเกษตร
เขาบอกกับจอมทัพและลลิณว่า
“
ขนาดคุณลิณและน้าจอม ที่เคยทำงานและใช้ชีวิตในเมือง ยังมาอยู่ที่บ้านนอก แล้วเด็กบ้านนอกเช่นเขา จะเข้าไปใช้ชีวิตในเมืองทำไม เพราะที่นี่มีทุกอย่างที่ในเมืองไม่มี ” แบงค์สอบเข้าเรียนได้เขาให้สัญญากับทุกคนว่าเขาจะนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาและต่อยอดกิจการของชาวบ้านให้ประชาชนมีความสุข
ไม่ต้องหลั่งไหลเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่
ทุกครั้งที่จอมทัพเป็นวิทยากรให้ความรู้
เขามักจะปิดท้ายว่า
“ ชีวิตของคนเราไม่มีวันจบบริบูรณ์ ทุกชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป
ในแต่ละช่วงชีวิตของคนเรา อาจมีช่วงเวลาที่ประทับใจ ทุกข์ สุข เศร้า เสียใจ เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่เราไม่สามารถหยุดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตรงนั้นได้
นาฬิกาเรือนหนึ่งอาจหยุดเดิน แต่นาฬิกาเรือนอื่นๆยังคงเดินต่อไป ดวงอาทิตย์ไม่เคยหยุดส่องแสง โลกฝั่งหนึ่งมืด อีกฝั่งหนึ่งก็จะสว่าง ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน ”
จอมทัพนึกไม่ออกเหมือนกันว่า
ถ้าเขาไม่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ
และกลับไปบริหารธุรกิจที่กรุงเทพอีกครั้ง ชีวิตของเขาจะเป็นเช่นไร และไม่แน่ใจว่าตอนนี้เขาจะติดอยู่บนถนนตรงจุดไหนสักแห่งในระหว่างการเดินทาง
เขาคิดไม่ผิดเลยที่ยุติชีวิตทุกอย่างในเมืองหลวงและมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่จังหวัดนี้
เมื่อวันเวลาเดินทางมาอย่างเหมาะสม
และได้พิสูจน์คนๆหนึ่งแล้ว วันที่เขารอคอยก็มาถึง
“ พี่จอมคะ
ลิณพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนชีวิตของพี่แล้วค่ะ ”
ชายหนุ่มกระโดดตัวลอย
แล้วค่อยๆดึงหญิงสาวเข้ามากอด
และพูดกับหญิงสาวว่า
“ ลิณ คือดวงแก้วที่ส่องสว่าง ให้ความอบอุ่นแก่พี่ ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าแสงอาทิตย์ แต่ดวงแก้วดวงนี้ไม่เคยลับหายไปไหน
มันส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา พี่สัญญาว่าจะรักษาดวงแก้วดวงนี้ไว้ให้ดีที่สุดจะไม่ให้เกิดรอยใดๆขึ้น
ลิณจะอยู่ในใจพี่ตลอดไป ”
ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วสัญญาซึ่งกันและกันว่า
พวกเขาจะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ทั้งเวลาทุกข์และสุข
ณ เวลานี้
จอมทัพรู้และตระหนักว่า เงินเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินชีวิตที่ใช่ที่สุด เงินซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกได้
แต่ซื้อมิตรภาพ เวลา และชีวิตไม่ได้
ปากหม้อ