ตอนที่ ๖
ตะวันอับแสง
เศรษฐกิจโลกพ่นพิษ รวิญญ์กรุ๊ป ล้มทั้งยืน
เมื่อเงินจาง นางก็จรจากไป งานวิวาห์อันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนรอคอย ถูกยกเลิกไปอย่างไม่เป็นท่า
ผู้บริหาร รวิญญ์กรุ๊ป ทนพิษบาดแผลทางเศรษฐกิจไม่ไหว หลบลี้หนีหายไปจากสังคมอย่างไร้ร่องรอย
จอมทัพนั่งอ่านข่าวของตัวเองที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ไม่เว้นแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์บันเทิง บนม้านั่งในบริเวณสถานีรถไฟหัวลำโพง ชายหนุ่มคิดถึงภาพในอดีตเมื่อเขาย่างกรายผ่านที่ใด
ทุกคนในที่นั้นจะรีบวิ่งเข้ามาทักทาย ต้อนรับ จัดหาให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง หญิงสาวสวย รายล้อมเข้ามาเพื่อทำความรู้จักและสานสัมพันธ์กับเขา
แต่ตอนนี้
แม้แต่หญิงสาวกลางคืนที่เดินผ่านไปมายังเดินผ่านไปอย่างไม่เหลียวแลเพียงเพราะเขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืด
กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ และสะพายเป้ติดตัวเพียงใบเดียว ทุกคนในสถานที่นี้ ไม่มีใครรู้จักเขา ไม่มีเสียงสนทนาเกี่ยวกับธุรกิจ ไม่มีใครพูดถึงสังคมไฮโซ ไม่มีงานกาล่าดินเนอร์ เขาสังเกตการณ์ใช้ชีวิตของคนที่นี่ ทุกคนพูดคุยถึงเรื่องราวสถานที่ ที่พวกเขากำลังจะไป พูดถึงความอบอุ่น ความรักที่กำลังรอการกลับไปของพวกเขา ฟังดูแล้วช่างน่ามีความสุขจริงๆ ผู้คนถือข้าวเหนียว หมูปิ้ง ไก่ย่าง
กินกันอย่างมีความสุขและที่สำคัญทุกคนมีแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังทุกอย่างตรงข้ามกับเขา
เขาเดินทางอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนมาส่ง ไม่มีเพื่อนคุย
และไม่รู้ว่าที่เขาจะไปนั้น จะเป็นอย่างไร
เขาแทบไม่มีความหวังใดๆเลย เงินเพียงเล็กน้อยในกระเป๋าจะช่วยต่อลมหายใจให้เขาได้นานแค่ไหน
ระหว่างที่เขานั่งคิดอยู่นั้นนายสถานีก็ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารขึ้นรถ
ชายหนุ่มเดินขึ้นรถและเลือกที่นั่งข้างหน้าต่าง
เพื่อที่จะได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางเพื่อบรรเทาความทุกข์ในใจ
รถไฟวิ่งไปเรื่อยๆ
แวะรับผู้โดยสารในแต่ละสถานี
มีผู้โดยสารคนหนึ่งขึ้นมานั่งตรงข้ามกับเขา เขาไม่สนใจกับสิ่งใด
สายตายังเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ความรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยว
เริ่มมาเยือนเขาอีกครั้งเขานั่งนิ่งๆ น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัวเขาไม่รู้เลยว่ามีใครคนหนึ่งนั่งมองเขาอยู่
เวลาผ่านไปนานเท่าไรเขาไม่รู้
รถไฟจอดพักให้ผู้โดยสารรับประทานอาหารและทำภารกิจส่วนตัว เขาหลับไปนานแค่ไหนไม่รู้ เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด อยู่ส่วนไหนของประเทศ
“ ทานข้าวไหมพ่อหนุ่ม ลุงซื้อมาเผื่อ ”
เสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับมีมือหนึ่งยื่นข้าวกล่องพร้อมกับน้ำให้เขา
“ ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เอาไปเถอะ
ลุงเห็นคุณไม่ได้กินอะไร มาตั้งแต่ลุงขึ้นมาแล้ว ”
เขาอึ้งไปนิดหนึ่งพร้อมกับรับน้ำใจจากคุณลุงแปลกหน้าคนนั้น
“ กินได้เลยนะ ไม่ต้องกลัวหรอก ลุงไม่วางยาคุณหรอก ”
คุณลุงพูดพร้อมกับยิ้มให้เขานิดหนึ่ง เหมือนจะรู้ทันความคิดของเขา แล้วลุงก็พูดต่อไปว่า
“ อาการน่าจะหนักอยู่นะพ่อหนุ่มโดนพิษอะไรมาล่ะคงหนักเอาการสินะ
”
“อาการผมมันฟ้องขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใช่สิ
คงไม่มีชายอกสามศอกคนไหน นอนน้ำตาไหลออกมาแบบไม่รู้ตัวดอก อาการนี้ลุงก็เคยเป็นนะ
”
“
ลุง โดนพิษอะไรล่ะครับ ”
“ พิษความจนยังไงล่ะพ่อหนุ่ม ความจนมันน่ากลัวน่ะ
แต่มันก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าเรามีสติ
เพราะความจน ทำให้ลุงต้องพัดพรากจากคนรักแต่ลุงก็เข้าใจพ่อแม่เขานะ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกสาวตนเองได้กับคนยากจน แต่ความยากจนนี้ล่ะจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักแท้ของเรา
แล้วพ่อหนุ่มล่ะ ยังไม่ตอบลุงเลย ว่าโดนพิษอะไรมา ถ้าให้ลุงเดา ก็คงเดาไม่ถูกหรอกนะ เพราะทุกวันนี้
มลพิษทางสังคมมันมากเหลือเกิน แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องตอบลุงก็ได้ ”
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตามองเพื่อนร่วมทางอย่างเต็มตา
เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจความอบอุ่นที่เขาหาได้น้อยมากจากสังคมที่เขาจากมา จอมทัพตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาเพียงบางส่วนให้ลุงฟังว่าเขาตกงาน
บริษัทขาดทุน จึงต้องปลดพนักงานออก
หญิงสาวคนรักบอกเลิกงานแต่งงาน เขาจึงเดินทางเพื่อไปรักษาแผลในใจ
“ เรื่องเล็กๆน่ะพ่อหนุ่ม บนวิกฤติยังมีโอกาสที่ดีทำให้เราได้รู้จักธาตุแท้ของคน
ดีแล้วล่ะ ที่เลิกกันก่อน ดีกว่าอยู่กันไปแล้วเลิกรากันทีหลัง ลุงล่ะสงสารแต่คนในข่าว เขาคงลำบากน่าดู คนไม่เคยจน
พอจนก็ไม่เหลืออะไรเลย เราก็แค่กลับมาจนอีกครั้งหนึ่งแค่นั้นเอง
”
เมื่อได้พูดคุยสนทนา
ทำให้คลายความทุกข์ในใจไปได้บ้าง
การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ได้โดดเดี่ยวเสียทีเดียว เขายังได้พบมิตรภาพและความจริงใจอันสวยงามอยู่บ้าง คุณลุงเพื่อนร่วมทางหลับไป เขาจึงได้อยู่กลับตัวเองอีกครั้ง เขาคิดถึงลลิณ
คิดถึงคำพูดของเธอ เธอต้อนรับเขาเสมอในฐานะเพื่อนร่วมโลก มันจุดประกายความหวังเขาขึ้นมาอีกครั้ง
เขาสัญญากับตัวเองว่าอนาคตต่อไปข้างหน้าจะเจออะไรเขาต้องอดทนและเอาชนะมันให้ได้
แล้วเขาก็หลับไป เขาฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันมากมายเหลือเกิน ทั้งทุกข์และสุขปะปนกันไป เขาสะดุ้งตื่นอีกครั้ง เมื่อนายสถานีประกาศว่ารถไฟขบวนนี้ได้นำทุกท่านมาสู่จุดมุ่งหมายปลายทางอย่างสวัสดิภาพและขอให้ผู้โดยสารทุกท่านจงประสพพบเจอแต่ความสุข
ความสมหวัง ตลอดไป
“
โชคดีนะพ่อหนุ่ม ”
“ ขอบคุณครับ เช่นกันนะครับลุง ”
ก่อนเดินทาง จอมทัพได้สอบถามเส้นทางไปบ้านลลิณมาเรียบร้อย
เขาจึงเดินทางต่อไปที่บ้านของหญิงสาวโดยรถสองแถว
ธรรมชาติสองข้างทางยังสวยงามผู้คนสนทนาซักถามกันเหมือนรู้จักกันมานานแสนนาน
เขาบอกจุดหมายปลายทางที่จะไป
“จะไปพัก ชื่นชมธรรมชาติที่นั่นหรือคุณ
บรรยากาศเขาดีมากเลยนะ นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเยอะเลย เจ้าของบ้านก็น่ารัก
เขาไม่เน้นเรื่องเงินนะ แล้วแต่ความพอใจของลูกค้า เก่งจริงๆเลยนะผู้หญิงตัวนิดเดียวที่สำคัญนะสวยด้วย
สวยทั้งกายทั้งใจเลย ถ้าฉันมีลูกชายนะฉันจองเป็นลูกสะใภ้แน่ๆเลยคุณ ” ชายหนุ่มยิ้มให้คนพูด เมื่อถึงปลายทางชายหนุ่มเข้าไปขออาศัยอยู่ที่วัด
“ ไปไง มาไงล่ะโยม มาจากไหนล่ะ
หนีอะไรมารึเปล่าดูจากหน้าตาและผิวพรรณแล้วไม่น่าจะใช่คนแถวนี้”
หลวงพ่อถามหลังจากที่ชายหนุ่มก้มกราบเสร็จและแจ้งความประสงค์กับหลวงพ่อว่าจะมาขอพักในวัดสักระยะหนึ่ง
“ ผมชื่อจอมทัพ มาจากกรุงเทพครับ
ผมตกงานและอกหัก
จึงต้องการมาหาที่พักใจสักระยะหนึ่ง
ก่อนที่จะตั้งตัวสู้ใหม่อีกครั้งครับ
และผมขอรับรองว่าผมไม่ได้หนีคดี
หรือหนีความผิดทางกฎหมายใดๆทั้งสิ้นครับ
และผมก็จะขอทำหน้าที่เหมือนเด็กวัดทั่วไป
ครับ ”
“งั้นก็อยู่ด้วยกันที่นี่ไปก่อนก็แล้วกันน่ะ
มันอาจจะไม่สะดวกสบายเหมือนในที่ที่คุณจากมานะโยม ที่นี่บ้านนอก อาหารการกินก็แบบบ้านๆ คนหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็ต้องช่วยเหลือกันไปนะโยมสิน
” หลวงพ่อหันไปพูดกับคนชื่อสิน
“
ครับหลวงพ่อ มีอะไรก็ช่วยๆกันไป เราคนไทยด้วยกัน ฝรั่งมังค่าผ่านมาเรายังช่วยเหลือ แล้วทำไมเราจะช่วยคนไทยด้วยกันไม่ได้ล่ะ
หลวงพ่อ ”
“ ขอบคุณครับ
”
แล้วหลวงพ่อก็ให้คนพาเขาไปยังที่พัก เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขาเริ่มรู้สึกว่า
เงินอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาโหยหา หรือต้องการมากที่สุดแล้ว หรือว่า
คำพูดของลลิณจะเป็นจริง “
เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต ” เขาเริ่มชอบบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนที่นี่เสียแล้ว หรือนี่คือสิ่งที่เขาต้องการและพยายามไขว่คว้าหามาตลอด
ปากหม้อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น